.

ประมวลความรู้นวัตกรรมเทคโนโลยี สัปดาที่ 4 กลุ่ม 4 cyber4

การกำหนดบทบาทในการจัดการกิจกรรมกลุ่มให้แก่สมาชิก ดังนี้
1. ผู้ดำเนินรายการ (moderator) ชื่อ กฤติกา สังขวดี
2. ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ชื่อ สมคิด มีมะจำ
3. ผู้บันทึก (note taker) ชื่อ เมฆินทร์ วรศาสตร์
4. ผู้สนับสนุน (supporter) ชื่อ ตวงอัฐ ตุมอญ
5. ผู้ส่งเสริม (contributor) ชื่อ สุพล ศักดิ์สองเมือง
6. ผู้สื่อข่าวกิตติมศักดิ์ ชื่อ ธวิลรัตน์ นพคุณ

Web1.0

ที่มา http://socialwhisper.files.wordpress.com/2009/02/web1to31.jpg
เป็นเว็บที่มีการใช้งานการสื่อสารแบบเสนอทางเดียว กล่าวคือ เจ้าของ website เป็นผู้สร้างเนื้อหาและให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นลักษณะ ข้อความ รูปภาพ หรือ ไฟส์ ที่ต้องอาศัย webmaster เป็นผู้ดูแลเนื้อหาฝากขึ้น website
Web 1.0 is a retronym which refers to the state of the World Wide Web, and any website design style used before the advent of the Web 2.0 phenomenon. It is the general term that has been created to describe the Web before the "bursting of the Dot-com bubble" in 2001, which is seen by many as a turning point for the internet. [1] It is easiest to formulate a sense of the term Web 1.0 when it is used in relation to the term Web 2.0, to compare the two and offer examples of each.
ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Web_1.0 (online 8 December 2009)

Web 2.0
เป็นนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นมา โดยมีการ Communication กันและกัน มีการโต้ตอบกันได้ แบบ Two –way เป็นการสร้างเนื้อหา บทความ ความรู้ ผ่าน Blogs มีการนำเสนอความรู้ในรูปแบบที่อาศัยนวัตกรรมที่ทันสมัยได้ เช่น วีดีโอ ภาพเคลื่อนไหว รูปภาพ รูปถ่าย การใช้เสียง ตัวอย่างของ Blog ได้แก่ การใช้ blogs ,Rss .Plurk(อ้างอิง อาจารย์วรสรวง ดวงจินดา ) เพราะผู้เขียนก็พึ่งจะเข้าไปดู การใช้งานคะการใช้ Tag ของ twittier
Web 2.0 นี้ได้อาศัยเทคโนโลยีผสมผสานกันหลายรูปแบบพอจะสรุปได้ดังนี้ คือ
1. การใช้เทคโนโลยีซึ่งขอใช้ชื่อว่า Ajax เข้ามาช่วย ซึ่งมีส่วนประกอบของ XML XSLTDom
CSSXMLHttpRequest และ XHTML เป็นเทคโนโลยีที่สามารถสื่อสารในระบบอินเตอร์เนทที่สะดวกและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การส่งข้อมูลไปทางเซิร์ปเวอร์ และรับข้อมูลจากเซิร์ปเวอร์ได้ ซึ่งระหว่างการส่งและรับข้อมูลผู้ใช้งานจะต้องใช้เวลาในการปฏิบัติค่อนข้างมาก แต่เมื่อนำเทคโนโลยี มาใช้งานจะทำให้การสื่อสารดังกล่าวมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งมีเว็บของ Google Suggest ได้นำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้บ้างแล้ว ทำให้สามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ตั้งแต่การป้อนชื่อทางคีร์บอร์ดคือ เมื่อพิมพ์ตัวอักษรตัวแรก ก็จะมีหัวเรื่องที่ใช้ตัวอักษรนำหน้านั้นเริ่มต้นแสดงออกมาปรากฏให้ผู้ใช้งานเห็นจำนวนมากมายเรียงตามลำดับ และเมื่อป้อนอักษรตัวที่สองถัดไปก็จะแสดงแถบชื่อหัวเรื่องที่มีชื่อตัวอักษรสองตัวแรกเหมือนที่ป้อนแสดงให้เห็นอีกหลาย ๆ ชื่อ ตามที่มีอักษรสองตัวแรกเหมือนกับชื่อข้อมูลที่ป้อนเข้าไป สรุปก็คือจะอำนวยความสะดวก และลดระยะเวลาในการสื่อสารให้ดีขึ้น
URL อ้างอิง
http://www.oreillynet.com/pub/a/oreilly/tim/news/2005/09/30/what-is-web-20.html?page=1 /
http://www.digital-web.com/articles/web_2_for_designers/
http://www.webdesignfromscratch.com/web-2.0-design-style-guide.cfm /
http://www.google.com/webhp?complete=1&hl=en/
ที่มา www. irun.ku.ac.th/~g5086066/report1g3.doc (online 8 December 2009)
ความแตกต่างระหว่าง Web 1.0 และWeb 2.0
ข้อแตกต่างระหว่าง Web 1.0 และ Web 2.0
1. Web1.0 แก้ไขอัพเดตข้อมูลต่างๆในหน้าเว็บได้เฉพาะWebmaster หรือคนดูแลเว็บไซต์เท่านั้น
แต่ Web2.0 สามารถสื่อสารตอบโต้ได้ทั้งผู้สร้างเว็บและผู้ใช้เว็บ ดังเช่น Blog หรือการโพสต์กระทู้ต่างๆ
2. Web 1.0 สร้างเรตติ้งแบบปากต่อปากได้ยาก เนื่องจากสื่อสารทางเดียวแต่ Web 2.0 สามารถสร้างปรากฏการณ์แบบปากต่อปากได้
3. Web 1.0 ให้ข้อมูลความรู้แบบตายตัว การเปลี่ยนแปลงแก้ไขขึ้นอยู่กับWebmaster
แต่ Web 2.0 สามารถต่อยอดข้อมูลต่างๆออกไปได้ไม่จำกัดและข้อมูลจะถูกตรวจสอบคัดกรองอยู่ตลอด
ตัวอย่างเช่นWikipedia ที่ใครก็สามารถเขียนในสิ่งที่ตนรู้ลงไปได้ Web 2.0 ยังก่อให้เกิดการตลาดแบบใหม่ สร้างงาน สร้างธุรกิจเงินล้านบนอินเตอร์เน็ต ก่อให้เกิดนักธุรกิจในโลกออนไลน์มากมาย

ที่มา http://www.tkc.go.th/pageconfig/viewcontent/viewcontent1.asp?pageid=156&directory=2951&contents=3153

Web 3.0
Web 3.0 เป็นการนำแนวคิดของ Web 2.0 มาทำให้ Webนั้นสามารถจัดการข้อมูลจำนวนมาก ๆ โดยอย่างที่เรารู้กันดีว่าผู้ใช้ทั่วไปนั้นเป็นผู้สร้างเนื้อหา ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้น เช่นการเขียน Blog, การแชร์รูปภาพและไฟล์มัลติมีเดียต่าง ๆ ทำให้ข้อมูลมีจำนวนมหาศาล ทำให้จำเป็นต้องมีความสามารถในการข้อมูลดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเอาข้อมูลต่าง ๆ เหล่านั้นมาจัดการให้อยู่ในรูปแบบ Metadataที่หมายถึงข้อมูลที่บอกรายละเอียดของข้อมูล (Data about data) ทำให้เว็บกลายเป็น Sematic Webกล่าวคือเว็บที่ใช้ Metadata มาอธิบายสิ่งต่าง ๆ บนเว็บ ซึ่งเราจะเห็นกันทั่วไปนั่นคือ Tag นั้นเอง โดยที่ Tag ก็คือคำสั้น ๆ หลาย ๆ คำ ที่เป็นหัวใจของเนื้อหา เพื่อทำให้เราสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่าง ๆ ได้ด้วยการใช้ Tag ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แต่แทนที่ผู้ผลิตเนื้อหาจะใส่เอง แต่ตัว Webจะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้น แล้วให้ Tagsตามความเหมาะสมให้เราแทน
ความแตกต่างระหว่าง Web 2.0 และWeb 3.0
เมทาดาตา หรือ เมทาเดตา[1] (อังกฤษ: metadata) หมายถึง ข้อมูลที่ใช้กำกับและอภิบายข้อมูลหลักหรือกลุ่มของข้อมูลอื่น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บัตรในห้องสมุดสำหรับสืบค้นหนังสือที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับชื่อหนังสือและตำแหน่งของหนังสือ ซึ่งหนังสือเป็นข้อมูลที่ต้องการ และบัตรเป็นข้อมูลที่อธิบายรายละเอียดของข้อมูลนั้น
เมทาดาตา ยังมีการใช้คำศัพท์อื่นเช่น อภิข้อมูล[2]
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B2 (online 8 December 2009)
สรุป
1. เว็บ 2.0 เป็น ลักษณะของเอกสาร แต่ เว็บ 3.0 เป็นอภิมหาข้อมูล ซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องของข้อมูลที่มากกว่า
2. เว็บ 3.0 เก็บข้อมูลเป็นแบบ Digital ส่วนเว็บ 2.0 เป็นการบริหารข้อมูลสารสนเทศ โดยสมาชิกในเว็บเอง
3. เว็บ 2.0 เป็น web ที่มีการอ้างอิงถึง Google’s Pagerank algorithm ไม่ค่อยมีกฎเกณฑ์ แต่ web3.0 เป็น web ที่อ้างถึง Ontologies, semantic systems มีมาตรฐาน กฎเกณฑ์และ protocol สำหรับสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้อง

ทีมา http://www.tkc.go.th/pageconfig/viewcontent/viewcontent1.asp?pageid=156&directory=2951&contents=3141 (online 10 December 2009)

AI (Artificial Intelligence) ที่เปรียบเสมือนว่าคอมฯมีสมองคิดเองได้ จดจำข้อมูลต่างๆ ทำให้รู้จักเราว่าคิดอะไร ทำอะไรอยู่ ก็คล้ายๆกับคอมฯมันกำลังเล่นอยู่บนความคิดคนเท่านั้นเอง แทนที่จากเดิมแค่เขียน Blog หรือ แชร์รูป สรุปแล้วคงคล้ายๆกับเกมส์ออนไลน์
- Semantic Web คือระบบการเชื่อมโยงระหว่างคอมฯหรือฐานข้อมูลต่างๆที่มีอยู่บนโลกให้เชื่อมโยงกัน

Web 4.0
เป็นเทคโนโลยีเว็บที่ก้าวหน้าทันสมัย มีการพัฒนามาจาก เว็บ 3.0 ให้มากกว่าการสื่อสาร การวิเคราะห์ทางโครงสร้างตรรกวิทยา เป็นความชาญฉลาดที่ทันสมัย


ที่มา http://www.tkc.go.th/pageconfig/viewcontent/viewcontent1.asp?pageid=156&directory=2951&contents=3162

แนวทางการนำนวตกรรม เว็บ 2.0 เพื่อ พัฒนาการจัดการเรียนการสอนตามข้อสรุปกลุ่ม 4
1. สร้างเนื้อหาความรู้เพื่อเผยแพร่บทเรียนให้ ไม่หวังผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม คือ ตัวเงิน เพื่อน ๆ คงในกลุ่มมีการนำไปใช้ในการเขียน แก้ไข สารานุกรม ให้คนอื่นได้อ่าน
2. การสร้าง blog web เพื่อ link ความรู้ ในรูปแบบที่หลากหลาย
3. การส่งภาพ เพื่อเผยแพร่ และ ใส่คำจำกัดความที่เรียกว่า tag ให้รูปภาพของตน ผู้ที่ต้องการค้นหาก็เพียงพิมพ์ tag ที่คิดว่าตรงกับความต้องการของตนเองลงไป ระบบก็จะแสดงภาพที่มี tag ตรงกับความต้องการ
4. และกลุ่ม ก็ได้สร้าง Blog ซึ่งก็ คือ เว็บไซต์ส่วนตัวสำเร็จรูป ฝากข้อความ และภาพลงไปเพื่อเผยแพร่
5. ใช้ ดิจิตอล แบบ ปัญญาประดิษฐ์ เพื่อ พัฒนาการเรียนการสอนตามเทคโนโลยี่สมัยใหม่






เกตส์ กล่าวว่าอีกสิบปี ข้างหน้า คือ ทศวรรษแห่งดิจิตอล (Digital Decade) ความหมายก็คือ การดำเนินชีวิตประจำวันของเรานั้น ต้องมีความเกี่ยวข้องกับระบบดิจิตอลและข้อมูลดิจิตอลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบัน และ ในอนาคต”
ที่มา หนังสือ eLeader